วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ต้นกำเนิดบุญบั้งไฟ

      ประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นประเพณีหนึ่งของภาคอีสานของไทยรวมไปถึงลาว โดยมีตำนานมาจากนิทานพื้นบ้านของภาคอีสานเรื่องพระยาคันคาก เรื่องผาแดงนางไอ่ ซึ่งในนิทางพื้นบ้านดังกล่าวได้กล่าวถึง การที่ชาวบ้านได้จัดงานบุญบั้งไฟขึ้นเพื่อเป็นการบูชา พระยาแถน หรือเทพวัสสกาลเทพบุตร ซึ่ง ชาวบ้านมีความเชื่อว่า พระยาแถนมีหน้าที่คอยดูแลให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล และมีความชื่นชอบไฟเป็นอย่างมาก หากหมู่บ้านใดไม่จัดทำการจัดงานบุญบั้งไฟบูชา ฝนก็จะไม่ตกถูกต้องตามฤดูกาล อาจก่อให้เกิดภัยพิบัติกับหมู่บ้านได้ โดยทั้งนี้การจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ ของ จังหวัดยโสธร ได้รับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในการประชาสัมพันธ์งานประเพณี เป็นที่รู้จักแก่ชาวไทย และต่างประเทศ นับแต่ ปี 2515 ซึ่ง งานประเพณีบุญบั้งไฟจังหวัดยโสธร จะจัดขึ้นในวันเสาร์ อาทิตย์ สัปดาห์ที่สอง ของเดือนพฤษภาคม ในทุกปี โดยทั้งนี้ ในงานที่จัดของจังหวัดยโสธร ยังมีความโดดเด่น ในวันก่อนแห่ มีการประกวดกองเชียร์ จำนวนมาก รวมทั้ง วันแห่บั้งไฟ จะมีขบวนบั้งไฟแบบโบราณ และการรำเซิ้งแบบโบราณ จาก ทั้ง 9 อำเภอของจังหวัดยโสธร เข้าร่วมด้วย นอกจากนี้ ยังพบว่า การจัดงานบั้งไฟในอดีต และปัจจุบัน ในพื้นที่ จังหวัดร้อยเอ็ด มีความโดดเด่น และเก่าแก่ มานาน มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะ ที่ อำเภอสุวรรณภูมิ ที่มีการจัดงาน ในทุกวันเสาร์ อาทิตย์ ในสัปดาห์แรก ของเดือนมิถุนายนในทุกปี ซึ่งเป็นงานที่มี บั้งไฟเอ้สวยงามขนาดใหญ่ (ลายศรีภูมิ หรือ ลายกรรไกรตัด) รวมทั้งขบวนรำสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ , อำเภอพนมไพร ที่ มีการจัดงาน ในทุกวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ของทุกปี ตามรูปแบบประเพณีดั้งเดิม ตาม ฮีตสองสอง คองสิบสี่ โดยมีการจุดบั้งไฟถวาย มากที่สุดในประเทศ โดยในแต่ละปี จะมีบั้งไฟหมื่น บั้งไฟแสน บั้งไฟล้าน รวมกันกว่า ๑,๐๐๐ บั้ง


       ชาวบ้านเชื่อว่ามีโลกมนุษย์ โลกเทวดา และโลกเทวดา มนุษย์อยู่ใต้อิทธิพลของเทวดา การรำผีฟ้าเป็นตัวอย่างที่แสดงออกทางด้านการนับถือเทวดา และเรียกเทวดาว่า “แถน” เมื่อถือว่ามีแถนก็ถือว่า ฝน ฟ้า ลม เป็นอิทธิพลของแถน หากทำให้แถนโปรดปราน มนุษย์ก็จะมีความสุข ดังนั้นจึงมีพิธีบูชาแถน การจุดบั้งไฟก็อาจเป็นอีกวิธีหนึ่งที่แสดงความเคารพหรือส่งสัญญาณความภักดีไปยังแถน ชาวอีสานจำนวนมากเชื่อว่าการจุดบั้งไฟเป็นการขอฝนจากพญาแถน และมีนิทานปรัมปราเช่นนี้อยู่ทั่วไป แต่ความเชื่อนี้ยังไม่พบหลักฐานที่แน่นอน นอกจากนี้ในวรรณกรรมอีสานยังมีความเชื่ออย่างหนึ่งคือ เรื่องพญาคันคาก หรือคางคก พญาคันคากได้รบกับพญาแถนจนชนะแล้วให้พญาแถนบันดาลฝนลงมาตกยังโลกมนุษย์
ความหมายของบั้งไฟ
      คำว่า “บั้งไฟ” ในภาษาถิ่นอีสานมักจะสับสนกับคำว่า “บ้องไฟ” แต่ที่ถูกนั้นควรเรียกว่า”บั้งไฟ”ดังที่ เจริญชัย ดงไพโรจน์ ได้อธิบายความแตกต่างของคำทั้งสองไว้ว่า บั้งหมายถึง สิ่งที่เป็นกระบอก เช่น บั้งทิง สำหรับใส่น้ำดื่ม หรือบั้งข้าวหลาม เป็นต้น

ความสำคัญ

บุญบั้งไฟถือเป็นคติความเชื่อทางสังคมของชาวอุดรธานีและภาคอีสานทั่วไปที่วิถีชีวิตผูกพันกับธรรมชาติ เนื่องจากชาวบ้านต้องทำการกสิกรรมเลี้ยงชีพเป็นส่วนใหญ่จึงต้องการน้ำจากธรรมชาติเพื่อเพาะปลูกพืชผลของตนเองจึงได้มีความเชื่อสืบต่อกันมาว่า เทพเจ้าที่ประทานน้ำให้แก่มนุษย์คือ "พญาแถน"


บุญบั้งไฟ เป็นความเชื่อของคนอีสานในการขอฝนสืบต่อมา จากเรื่องพญาคันคาก ผู้รบชนะพญาแถนและขอให้พญาแถนบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล พญาแถนจึงบอกให้พญาคันคาก ว่าต้องการฝนเมื่อใด ให้ส่งสัญญาณไปบอกด้วยการจุดบั้งไฟขึ้นฟ้าไป พญาแถนก็จะสั่งฝนลงมาให้ เมื่อถึงฤดูทำนาก็จะขอฝนมาทำนา ก็ส่งสัญญาณบอกแถนด้วยการจุดบั้งไฟ การจุดบั้งไฟจะทำกันในเดือนหก และจะทำหลังจากที่ทำพิธีเลี้ยงบ้านไปแล้ว

ประวัติความเป็นมา

บุญบั้งไฟ เป็นประเพณีที่นิยมทำกันในเดือน ๖ การจัดทำบุญบั้งไฟขึ้นเพื่อบูชาอารักษ์หลักเมือง เป็นประเพณีทำบุญขอฝนจากพญาแถนเพื่อให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลบ้าง คนหรือวัวควายอาจเกิดป่วยเป็นโรคต่างๆ บ้างเป็นต้น และเมื่อทำบุญดังกล่าวแล้ว ก็เชื่อว่าฟ้าฝนจะอุดมสมบูรณ์ ประชาชนในหมู่บ้านนั้นจะอยู่เย็นเป็นสุข เพราะมีอาหารข้าวปลาที่บริบูรณ์ทั้งปราศจากโรคภัยด้วย      “ ฮีตหนึ่งนั้น เถิงเดือนหกแล้วให้นำเอาน้ำวารีสรงโสก ฮดพระพุทธรูปเหนือใต้สู่ภาย อย่าได้ละเบี่ยงบ้ายปัดป่ายหายหยุด มันสิสูญเสียศรีต่ำไปเมือหน้า จงพากันทำแท้แนวคองฮีตเก่า เอาบุญไปเรื่อยๆ อย่าถอยหน้าหากสิเสีย ”




ประวัติความเป็นมาเรื่อง "พญาคันคาก"

     เดือนหกทำบุญบั้งไฟและบุญวันวิสาขบูชา การทำบุญบั้งไฟเพื่อขอฝน และจะมีงาน บวชนาคพร้อมกันด้วย การทำบุญเดือนหกเป็นงานสำคัญก่อนการทำนา หมู่บ้านใกล้เคียงจะนำ เอาบั้งไฟมาจุดประชันขันแข่งกัน หมู่บ้านที่รับเป็นเจ้าภาพจะจัดอาหาร เหล้ายามาเลี้ยงโดยไม่คิด มูลค่า เมื่อถึงเวลาก็จะตั้งขบวนแห่บั้งไฟและรำเซิ้งออกไป ณ ลานที่จุดบั้งไฟ การเซิ้งจะกระทำด้วย ความสนุกสนาน ไม่มีการทะเลาะวิวาท คำเซิ้งและการแสดงประกอบจะออกไปในเรื่องเพศ แต่ก็ไม่ ถือสาหรือคิดเป็นเรื่องหยาบคายแต่อย่างใด (ไปชมประเพณียิ่งใหญ่นี้ได้ที่จังหวัดยโสธร ช่วงต้น เดือนพฤษภาคมของทุกปี) ส่วนการทำบุญวิสาขบูชานั้น ก็มีการทำบุญเลี้ยงพระ ฟังเทศน์ ช่วงเย็น มีการเวียนเทียนเช่นเดียวกับภาคอื่นๆโดยการเอาขี้เจีย (ดินประสิว) มาประสมคั่วกับถ่าน โขลกให้แหลกเรียกว่าหมื่อ (ดินปืน) เอาหมื่อใส่กระบอกไม้ไผ่อัดให้แน่น แล้วเจาะรูใส่หางเรียกว่าบั้งไฟ การทำบุญมีให้ทาน เป็นต้น เกี่ยวกับการทำบ้องไฟ เรียกว่า บุญบั้งไฟ กำหนดทำกันในเดือนหก พญาคันคากจึงท้าสู้รบกับพญาแถน หากพญาแถนแพ้ต้องส่งฝนลงมาให้โลกมนุษย์เป็นประจำทุกปี ผลการสู่รบปรากฏว่าพญาแถนแพ้พญาคันคาก เพราะพญาคันคากใช้แผนส่งปลวกขึ้นไปกัดด้ามอาวุธ ส่งมด ตะขาบ ไปซ่อนอยู่ในรองเท้าและเสื้อผ้าที่จะออกรบของพญาแถนและทหาร พญาแถนก็ยอมทำตามสัญญาแต่โดยดีแต่มีข้อแม้ว่าชาวโลกจะต้องจุดบั้งไฟขึ้นไปเตือนว่าต้องการฝนเมื่อใด ด้วยเหตุนี้ชาวโลกที่ต้องการน้ำดื่มน้ำใช้และน้ำเพื่อการเกษตรจึงได้ทำบั้งไฟจุดขึ้นไปขอฝนกับพญาแถนในช่วงก่อนฤดูทำนาคือประมาณเดือนหก ในช่วง เดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน ด้วยความเชื่อตามเรื่องเล่านี้จึงทำให้ชาวอีสานทำบั้งไฟทุกปีเพื่อเตือนพญาแถนก่อนจะถึงวันงานหรือวันเอาบุญ ชาวบ้านก็จะช่วยกันเตรียมงานกันอย่างสามัคคี ฝ่ายแม่ครัวก็เตรียมข้าวปลาอาหารไว้เลี้ยงแขกเลี้ยงคน ฝ่ายช่างฟ้อนก็เตรียมขบวนรำไว้สำหรับแห่บั้งไฟ ฝ่ายผู้ชายที่เป็นช่างฝีมือก็ช่วยกันทำบั้งไฟและตกแต่งให้สวยงาม งานบุญบั้งไฟส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีพิธีกรรมทางศาสนาเท่าใดนักแต่บางแห่งก็มีพิธีทำบุญเลี้ยงพระบ้าง ในวันโฮม ชาวบ้านก็จะมาตั้งขบวนเพื่อแห่บั้งไฟไปรอบ ๆ หมู่บ้าน เป็นงานบุญที่เน้นความสนุกสนานรื่นเริง ในขบวนจะมีการรำเซิ้งตามบั้งไฟ และบรรดาขี้เหล้าทั้งหลายก็จะร้องเพลงเซิ้งไปของเหล้าตามบ้านต่าง ๆ กาพย์เซิ้งอาจจะหยาบคายแต่ก็ไม่มีใครถือสากัน แต่กาพย์เซิ้งที่ใช้แห่ในขบวนมักจะเป็นประวัติและความเป็นมาของพิธีบุญบั้งไฟ ส่วนในวันจุดบั้งไฟก็อาจจะเป็นอีกวันหนึ่งคือเป็นวันที่ชาวบ้านจะเอาบั้งไฟของแต่ละคุ้มแต่ละหมู่บ้านมาจุดแข่งกัน ถ้าของใครทำมาดีจุดขึ้นได้สู่งสุดก็จะชนะแต่ถ้าของใครแตกหรือซุก็ถือว่าแพ้ ต้องโดนลงโทษโดยการจับโยนลงโคลนหรือตมซึ่งเป็นที่สนุกสนานอย่างยิ่ง
บุญบั้งไฟ เป็นหนึ่งในฮีตสิบสองเดือนของชาวอีสาน นิยมทำกันในเดือน 6 หรือเดือน 7 อันเป็นช่วงฤดูฝนเข้าสู่การทำนา ตกกล้า หว่าน ไถ เพื่อเป็นการบูชาแถนขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล เหมือนกับการแห่นางแมวของคนภาคกลาง
ในสองพิธีกรรมที่อยู่คนละภาคนี้ มีความคล้ายคลึงกันในเรื่องของสัญลักษณ์ที่ใช้อันส่อไปทางเพศสัมพันธ์ เช่น การใช้ไม้มาแกะสลักเป็นอวัยวะเพศชายเรียกว่า "บักแบ้น" หรือ "ปลัดขิก" ในอีสานหรือ "ขุนเพ็ด" ในภาคกลางเข้าร่วมขบวนแห่ ทั้งยังมีการร้องเซิ้งด้วยเนื้อหาที่เกี่ยวกับอวัยวะเพศและเพศสัมพันธ์
สัญลักษณ์นี้เป็นเครื่องหมายของความสัมพันธ์ระหว่าง ฟ้ากับดิน หญิงกับชาย ที่เป็นพลังก่อกำเนิดชีวิต และเป็นพลังแห่งความอุดมสมบูรณ์ จึงมีความสัมพันธ์กับการขอฝน ซึ่งเป็นที่มาของพลังแห่งการเติบโตของพืช และด้วยเหตุที่อวัยวะเพศ และเพศสัมพันธ์เป็นสัญลักษณ์สำคัญของงานบุญ จึงถือว่างานบุญบั้งไฟเป็น งานบุญของพระยามาร ซึ่งจัดแข่งกับงานบุญของพระพุทธเจ้า
            บุญบั้งไฟมีตำนานเล่าขานมานาน จากนิทานพื้นบ้านเรื่องผาแดงนางไอ่ เรื่องพระยาคันคาก ล้วนแต่กล่าวถึงการจุดบั้งไฟเพื่อให้แถน (เทวดา) ได้บันดาลให้ฝนตกตามฤดูกาล ถือเป็นประเพณีอันสำคัญที่จะละเลยมิได้ เพราะมีความเชื่อว่า หากหมู่บ้านใดไม่จัดงานบุญบั้งไฟก็อาจจะก่อให้เกิดภัยภิบัติแก่ผู้คนในชุมชน งานบุญบั้งไฟเป็นงานใหญ่ ลงทุนสูง การจัดงานจะต้องเป็นไปตามการตัดสินใจของชุมชน หากปีใดเศรษฐกิจในชุมชนฝืดเคืองอาจจะต้องงดจัดงาน ซึ่งต้องไปทำพิธีขอเลื่อนการจัดที่ศาลปู่ตา (ศาลผีบรรพบุรุษหรือเทพารักษ์) ของหมู่บ้าน ความจริงแม้จะจัดหรือไม่ก็ต้องมีการไปกระทำพิธีเซ่นไหว้ที่ศาลปู่ตาอยู่ดี

พิธีกรรม

โดยทั่วไปประเพณีการทำบุญบั้งไฟนั้นถือเป็นงานที่สนุกสนาน ความเชื่อในผีแถน บั้งไฟทำด้วยท่อไม้บรรจุดินปืนโดยการอัดให้แน่น มีความยาวประมาณสองเมตร ใช้ลำไม้ไผ่ต่อหางให้ได้สัดส่วน ก่อนนำบั้งไฟไปจุดต้องประดับตกแต่งให้เกิดความสวยงาม โดยใช้ลูกเอ้ผูกประกอบเข้าไป ใช้กระดาษสีตัดให้เป็นลวดลายตกแต่งตามเลาบั้งไฟและส่วนหางอย่างวิจิตร ส่วนหัวบั้งไฟทำเป็นรูปพญานาคตามคติความเชื่อเรื่องพญานาคให้น้ำ จากนั้นก็นำไปแห่รอบ ๆ หมู่บ้านอย่างสนุกสนาน



พิธีกรรมบุญบั้งไฟ

การแห่บั้งไฟนั้นคนเฒ่าคนแก่และหนุ่มสาวจะร่ายรำไปตามจังหวะดนตรีพื้นบ้านอันเร้าใจ โดยทั่วไปแล้วจะมีการร้องร่ายกาพย์เซิ้งที่บอกเล่าถึงประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟ ซึ่งกาพย์เซิ้งบั้งไฟเหล่านี้ปราชญ์ชาวบ้านได้ร่วมกันแต่งขึ้นเพื่อแสดงออกถึงความบันเทิงอย่างเต็มที่ก่อนที่จะได้ลงมือปฏิบัติภารกิจปักดำข้าวกล้าอันเป็นงานหนักในท้องทุ่งนาต่อไป เมื่อแห่บั้งไฟมาถึงที่ซึ่งได้นัดหมายกันแล้วชาวบ้านก็จะรวมบั้งไฟจากคุ้มต่าง ๆ เข้าด้วยกันแล้วจัดงานฉลองในคืนวันนั้น รุ่งขึ้นจึงจุดบั้งไฟ บั้งที่จุดก่อนเรียกว่า "บั้งไฟเสี่ยง" เพื่อดูว่าปีนี้ฝนจะตกตามฤดูกาลหรือไม่ ถ้าบั้งไฟขึ้นดีแสดงว่าฝนจะดี ถ้าไม่ขึ้นก็ตรงกันข้าม แล้วจากนั้นจึงจุดบั้งไฟแข่งซึ่งเป็นเรื่องที่ชาวบ้านมีความสนุกสนานกันมาก มีการเล่นโคลนตมกันอย่างมอมแมมอีกด้วย
            บุญบั้งไฟถือเป็นสาระของความสนุกสนานที่แฝงไว้ด้วยความเชื่อถือศรัทธาที่มีมาอย่างยาวนาน กิจกรรมทั้งหมดของประเพณีนี้ได้ถ่ายทอดความรู้สึก ภูมิปัญญาของชุมชนในเรื่องเทคโนโลยีพื้นบ้าน การเลือกไม้ไผ่มาทำบั้งไฟ การตัดไม้ไผ่โดยไม่เป็นอันตราย การบรรจุดินปืนลงกระบอกไม้ไผ่ ล้วนเป็นภูมิปัญญาที่สั่งสมสืบกันมา การตกแต่งบั้งไฟเป็นงานศิลปะ การเซิ้ง การรับลำ และความเชื่อในผีแถน

ขั้นตอนการจัดการประเพณี

ประชุมชาวบ้าน ผู้เฒ่าผู้แก่ พระสงฆ์ในหมู่บ้านเพื่อขอความเห็นว่าจะจัดงานบุญบั้งไฟหรือไม่ ถ้าตกลงจัดก็จะทำในข้อถัดไป แต่ถ้าไม่จัดจะต้องส่งตัวแทน (ผู้มีอายุชายในหมู่บ้าน) และพ่อเฒ่าจ้ำ (หมอผีประจำหมู่บ้าน) ไปขอขมาต่อเจ้าปู่เพื่อขอเลื่อนไปจัดในปีถัดไป (พิธีกรรมนี้ไม่มีผู้หญิงเกี่ยวข้อง) เมื่อตกลงจัดผู้เฒ่าผู้แก่ของหมู่บ้านจะส่งข่าวบอกกล่าวเชื้อเชิญไปยังหมู่บ้านใกล้เคียงให้มาร่วมงานบุญ เรียกว่า "เตินป่าว" ในสมัยถัดมาบ้านเมืองเจริญขึ้นก็พัฒนามาเป็นการแจกหนังสือเชิญชวนเรียกว่า "สลากใส่บุญ" เหตุที่ถือว่างานนี้เป็นงานบุญก็เพราะว่า วัดเป็นที่รวมของการจัดกิจกรรมของชุมชน การเตรียมการต่างๆ ตั้งแต่การทำบั้งไฟก็มักจะเริ่มจากพระ ซึ่งถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ เป็นฉบับ (ต้นฉบับ) ในวาระโอกาสนี้ยังมีการแทรกประเพณีทางพุทธศานาเข้าไปด้วย เช่น การบวชและการฮดสงฆ์ อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง กองฮด พิธีการในการยกย่องพระสงฆ์ ชาวบ้านจะเรี่ยไรเงินและสิ่งของตามศรัทธาเพื่อร่วมสมทบกันสร้างบั้งไฟ (ในสมัยโบราณจะทำเพียงบั้งเดียว) บอกบุญให้บ้านเรือน 3-4 หลังคารวมกันต้อนรับแขกจากต่างบ้านที่มาร่วมบ้านหนึ่ง (ซึ่งจำนวนไม่มากนักจะมาพร้อมบั้งไฟของหมู่บ้าน เช่น พระภิกษุ สามเณร หญิงชายที่มาร่วมขบวนแห่) ส่วนใหญ่ก็มักจะกำหนดให้ครอบครัวที่บวชลูกหลานเป็นเจ้าภาพ (เพราะต้องจัดงานเลี้ยงญาติพี่น้องอยู่แล้ว) ชาวบ้านที่ได้รับมอบหมายจะสร้างปะรำ หรือ "ผาม" หรือ "ตูบบุญ ซึ่งทำด้วยโครงไม้จริง ยกพื้นข้างบนให้พระสงฆ์นั่งฉันภัตาหาร ส่วนข้างล่างปูด้วยใบไม้หรือฟางข้าวให้หญิงสาวนั่ง โดยมีหญิงสูงอายุควบคุมดูแลหญิงสาวเหล่านี้ เพื่อป้องกันมิให้ถูกชายในขบวนเซิ้งลวนลามจนเกินเหตุ ในวัดจะมีการทำบั้งไฟโดย "ฉบับ" ซึ่งมักจะเป็นพระ โดยมีลูกมือคือชาวบ้านผู้ชาย ในสมัยผมยังเป็นเด็ก 20 กว่าปีผ่านมาแล้ว ผมก็เป็นลูกมือพระด้วยการไปหาไม้สำหรับมาเผาเป็นถ่านสำหรับคั่วผสมกับดินประสิวเรียกว่า การทำหมื่อ ซึ่งมีสูตรจำเพาะของช่างแต่ละคน ตำด้วยครกมองให้ละเอียดร่วน ทดสอบด้วยการนำมาโรยเป็นทางยาวแล้วจุดไฟดูความเร็วของการปะทุ หากปะทุช้าก็จะต้องใช้สูตรผสมใหม่ตามแต่ต้นฉบับจะกำหนดบอกมา




การประกวดธิดาบั้งไฟล้าน

การทำบั้งไฟในสมัยก่อนจะใช้ไม้ไผ่ลำขนาดใหญ่ที่สุด ทะลวงปล้องให้ถึงกัน ภายนอกจะใช้ตอกไม้ไผ่ถักเป็นเชือกมัดรอบลำไผ่ให้แน่นเพื่อไม่ให้ลำไผ่แตก ส่วนหัวปล้องสุดท้ายจะถูกอุดด้วยแผ่นไม้หนาพอควร แล้วทำการอัดบรรจุหมื่อ (ดินปืน) ให้แน่นด้วยการตำ หรือใช้คานดีดคานงัด (สมัยใหม่ใช้แม่แรงยกล้อรถบรรทุกแทนสะดวกกว่ากันดังภาพด้านล่าง)ยุคสมัยเปลี่ยนไปจากลำไผ่กลายมาเป็นท่อเหล็กหรือท่อประปา (ซึ่งอันตรายมากเมื่อมีการระเบิดใส่ผู้คนอย่างที่เป็นข่าว) ตอนหลังหันมาใช้ท่อพีวีซีแทนซึ่งก็ยังเป็นอันตรายอยู่ดี จากการบูชาแถนมาเป็นการพนันขันต่อเพื่อการเดิมพัน จำนวนบั้งไฟที่จุดในแต่ละที่จึงมีจำนวนมาก และสร้างความเสียหายต่อชุมชนในทิศที่บั้งไฟถูกจุดออกไป (เพราะสามารถไปไกลได้หลายสิบกิโลเมตร)นอกจากบั้งไฟแล้ว ยังมีการทำพลุ พะเนียง ดอกไม้ไฟ ตะไล (เพื่อจุดในการแห่ร่วมด้วย) นอกจากนั้นตัวบั้งไฟยังต้องมีการประดับตกแต่งอย่างสวยงามเรียกว่า การเอ้ ซึ่งก็เป็นฝีมือของพระอีกเช่นกัน

การแห่บั้งไฟ



ในวันสุกดิบ ชาวบ้านจะจัดขบวนแห่บั้งไฟไปยังศาลปู่ตาของหมู่บ้าน พร้อมนำเอาเหล้าไปด้วยจำนวนมาก ส่วนหนึ่งใช้เซ่นสรวง มีการจุดบั้งไฟขนาดเล็กเรียก "บั้งเสี่ยง" เพื่อเสี่ยงทายดูถึงความอุดทสมบูรณ์และความสำเร็จในการทำนาปีนั้น จากนั้นก็ดื่มเหล้าฟ้อนรำรอบศาลปู่ตาเป็นที่สนุกสนาน (งานนี้มีเฉพาะผู้ชายที่ได้รับอนุญาตให้ร่วมพิธี)จากก็พากันแห่บั้งไฟไปยังสถานที่จัดงานหรือหมู่บ้านเรียก วันโฮม (รวม) มีการเซิ้งออกท่าทางต่างๆ ของการร่วมเพศอยู่ด้วย อาจมีการเอา บักแบ้น ผูกรอบเอวไว้หลายอัน มีสายสำหรับชักให้กระดกขึ้นได้ จากนั้นก็พากันแห่บั้งไฟไปยังสถานที่จัดงานหรือหมู่บ้านเรียก  วันโฮม(รวม) มีการเซิ้งออกท่าทางต่างๆ ของการร่วมเพศอยู่ด้วยอาจมีการเอา บักแบ้น ผูกรอบเอวไว้หลายอัน มีสายสำหรับชักให้กระดกขึ้นได้   




การแห่ขบวนบั้งไฟ

การแห่บั้งไฟ ผู้ร่วมขบวนนั้นดูเหมือนจะตั้งใจละเมิดกฎเกณฑ์ปรกติ เช่น ชายแต่งกายเป็นหญิง หรือเอาโคลนพอกหน้า ขบวนเซิ้งจะแห่ไปตามหมู่บ้านเพื่อขอสาโทมากิน การเซิ้งจะมีคนจ่ายกาพย์ และคนตีกลองให้จังหวะเซิ้ง อยู่กลางขบวนฟ้อน เพื่อให้ผู้ฟ้อนเซิ้งได้ยินเสียงจังหวะและคำกลอน "ลำกาพย์เซิ้งได้ชัดเจน ดูเรื่องที่เกี่ยวข้องที่นี่



การละเมิดกฎเกณฑ์และธรรมเนียมปฏิบัติกันทั่วไป มีคำอธิบายได้ว่า เป็นการปลดปล่อยคนให้หลุดจากกฎเกณฑ์ชั่วคราว ในอีสานสมัยก่อน ผู้ชายเมื่อแต่งงานต้องเข้าไปอยู่กับครอบครัวฝ่ายหญิง ผู้ชายจึงอยู่ในฐานะที่โดดเดี่ยว ต้องอยู่ในความควบคุมของญาติฝ่ายหญิง และต้องฝากอนาคตของตนไว้กับความเมตตาของครอบครัวฝ่ายหญิงด้วย เพราะจะสามารถสร้างหลักให้แก่ครอบครัวได้ก็ด้วยการอุปถัมภ์ของพ่อตา เขยจะถูกจัดให้เป็นผู้ด้อยกว่าในทางพิธีกรรม (แสดงสะท้อนในเชิงประชดประชันจากนิทาน "พ่อเฒ่ากับลูกเขย") ดังนั้น การที่แสดงออกในทางพิธีกรรมในบุญบั้งไฟ จึงเป็นการปลดปล่อยจากกฎเกณฑ์ของสังคม เพราะเรื่องเพศ การกล่าวถึงหรือแสดงอวัยวะเพศ เป็นความหยาบโลนที่สังคมปรกติไม่ยอมรับ ตอนบ่าย จะมีการตีกลองโฮม เพื่อให้ขบวนแห่ทุกขบวนไปรวมกันที่วัด ซึ่งจะหมายถึงการไปร่วมในพิธีบวชของบุตรหลาน หรือการฮดสงฆ์ ถ้ามีการบวชก็จะมีการแห่นาคด้วยม้า (ถ้าหากเจ้าภาพมีฐานะพอทำได้) มีการจุดตะไลตามหลังม้าไปตลอดทาง หากมีการฮดสงฆ์อยู่ด้วยก็จะแห่พระภิกษุที่ต้องการ "ฮด" นำหน้าเจ้านาคไป กลางคืนจะมี การเส็งกลอง หรือแข่งตีกลองกัน โดยแต่ละหมู่บ้านจะนำกลองกิ่งของวัดในหมู่บ้านตนมาตีแข่ง ถือกันว่าถ้าหากแพ้ในการเส็งกลอง ก็จะไม่ใช้กลองนั้นอีกเลย จะต้องไปเสาะแสวงหากลองมาเส็งใหม่ในปีหน้า การเส็งกลองจะมีกันไปจนถึงเที่ยงคืน



            รุ่งเช้าจะมีการทำบุญถวายจังหันพระ พอตกบ่ายก็มีการแห่บั้งไฟไปยังค้างที่เตรียมไว้ อาจใช้ต้นไม้ใหญ่เป็นค้างก็ได้ การแข่งขันระหว่างหมู่บ้านก็มีเพียงบ้านใดจะสามารถยิงไปได้สูงกว่ากัน (ใช้การนับไปจนกว่าจะมองเห็นบั้งไฟหล่นพ้นก้อนเมฆลงมา) เป็นการแสดงความสามารถของช่างหรือฉบับของบั้งไฟบ้านนั้น หากบั้งไฟบ้านใดซุ (พ่นดินปืนออกมาแต่ไม่ขึ้น) หรือแตกระหว่างการจุด ช่างหรือฉบับก็จะถูกจับโยนลงตม คือโยนลงไปในโคลนเป็นที่สนุกสนานทั้งผู้โยนและถูกโยน (เปื้อนโคลนพอกัน)

วิธีการทำบั้งไฟ

อุปกรณ์
1. ดินปะสิวตากให้แห้ง

2. ถ่านตากให้แห้ง
3. ท่อ PVC 2.5" ยาว 130 เซนติเมตร

4. หางไม้ไผ่

วิธีทำ ดินลำตัว เอาดินปะสิวไปบดแต่ไม่ให้ละเอียดใช้กับตะแกรงเบอร์ 9 ประมาณ 8 โล
เอาถ่านไปบดให้ละเอียดละเอียดเท่าไรยิ่งดีตามอัตราส่วนดินปะสิว 1 โลใช้ถ่าน 2.3 ขีดแต่ถ้าใช้ดินปะสิว 8 โลก็ให้คำนวนเอาเองครับ แล้วเอาดินปะสิวกับถ่านที่เตรียมไว้มาผสมกันใส่น้ำเปล่าพอชุ่มๆผสมให้เข้ากันที่สุด



วิธีการทำบั้งไฟ
ดินคอ ให้เอาดินลำตัวที่ผสมไว้มาให้พอดีผสมกับดินเหยียบน้ำ 1:1 ดินเหยียบน้ำคือดินที่อัดเข้าบั้งแล้วผ่าหรือเจาะออกจากรูนำมาผสมให้เข้ากัน
การอัด ต้องอัดให้เกิน 300 ขึ้นไปถึง 400 ให้ดูที่เข็มไฮดอลิคลำดับแรกใส่ดินหัวก่อนแล้วอัดต่อไปเป็นดินคอใช้แค่ 4 สัดสัดละ 2 ขีดมิล พอหมดคอแล้วอัดลำตัวยาวตลอดจนเต็ม


การเจาะรู อัดแล้วทิ้งไว้ 1 คืนแล้วเจาะใช้ 4 เหล็กคอยาว 20 เซนติเมตรไฟกิน 25 เซนติเมตร ที่เหลือแบ่งครึ่ง
การทำหาง ใช้ไม้ไผ่ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3 เซนติเมตรยาว ขอเปลี่ยนจาก 300 เป็น 290 เซนติเมตรหนัก 8 ขีดห้ามเกิน 8 ขีดครึ่งวัดกึ่งกลางเลื่อนหน้า 27 เซนติเมตร ถ่วงเสมอแล้วมัดเข้าบั้ง 37 เซนติเมตร
การทำท่อขนาด 2" 90 เซนติเมตร
ส่วนประกอบของบั้งไฟ
1. เลาบั้งไฟ เลาบั้งไฟคือส่วนประกิบที่ทำหน้าที่บรรจุดินปืน มีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกกลมยาว มีความยาวประมาณ 1.5 - 7 เมตร ทำด้วยลำไม้ไผ่แล้วใช้รั้วไม้ไผ่ (ตอก) ปิดเป็นเกลียวเชือกพันรอบเลาบั้งไฟอีกครั้งหนึ่งให้แน่น และใช้ดินปืนที่ชาวบ้านเรียกว่า"หมือ" อัดให้แน่นลงไปในเลาบั้งไฟ ด้วยวิธีใช้สากตำแล้วเจาะรูสายชนวน เสร็จแล้วนำเลาบั้งไฟ ไปมัดเข้ากับส่วนหางบั้งไฟ ในสมัยต่อมานิยมนำวัสดุอื่นมาใช้เป็นเลาบั้งไฟแทนไม้ไผ่ ได้แก่ ท่อเหล็ก ท่อพลาสติก เป็นต้น เรียกว่าเลาเหล็กซึ่งสามารถอัดดินปืนได้แน่นและมีประสิทธิภาพในการยิงได้สูงกว่า
 2. หางบั้งไฟ หางบั้งไฟถือเป็นส่วนสำคัญทำหน้าที่คล้ายหางเสือ ของเรือคือสร้างความสมดุลย์ให้กับบั้งไฟคอยบังคับทิศทางบั้งไฟให้ยิงขึ้นไปในทิศทางตรงและสูง บั้งไฟแบบเดิมนั้น ทำจากไม้ไผ่ทั้งลำ ต่อมาพัฒนาเป็นหางท่อนเหล็กและหางท่อนไม้ไผ่ติดกันหางท่อนเหล็กมีลักษณะเป็นท่อนกลม ทรงกระบอกมีความยาวประมาณ 8-12 เมตร ทำหน้าที่เป็นคานงัดยกลำตัวบั้งไฟชูโด่งชี้เอียงไปข้างหน้าทำมุมประมาณ 30-40 องศากับพื้นดิน โดยบั้งไฟจะยื่นไปข้างหน้ายาวประมาณ 7-8 เมตร ปลายหางด้านหนึ่งตั้งอยู่บนฐานที่ตั้งบั้งไฟ
           3. ลูกบั้งไฟ เป็นลำไม้ไผ่ที่นำมาประกอบเลาบั้งไฟโดยมัดรอบลำบั้งไฟ บั้งไฟลำหนึ่งจะประกอบด้วยลูกบั้งไฟประมาณ 8-15 ลูก ขึ้นอยู่กับขนาดของบั้งไฟ เดิมลูกบั้งไฟมีแปดลูกมีชื่อเรียกเรียงตามลำดับคู่ขนาดใหญ่ไปหาคู่ที่มีขนาดเล็กกว่าได้แก่ ลูกโอ้ ลูกกลาง ลูกนางและลูกก้อย ลูกบั้งไฟช่วยให้รูปทรงของบั้งไฟกลมเรียวสวยงาม นอกจากนี้ลูกบั้งไฟยังเป็นพื้นผิวรองรับการเอ้หรือการตกแต่งลวดลายปะติดกระดาษ
4. ลายบั้งไฟ ใช้ลายศิลป์ไทย คือ ลายกนก อันเป็นลายพื้นฐานในการลับลายบั้งไฟ โดยช่างจะนิยมใช้กระดาษดังโกทองด้านเป็นพื้นและสีเม็ดมะขามเป็นตัวสับลาย เพื่อให้ลายเด่นชัดในการตกแต่งเพื่อให้ความสวยงาม
5. ตัวบั้งไฟ มีลูกโอ้จะใช้ลายประจำยาม ลายหน้าเทพพนม ลายหน้ากาล ลูกเอ้ใช้ลายประจำยาม ก้ามปูเปลว และลายหน้ากระดาน ฯลฯ
6. กรวยเชิง เป็นลวดลายไทยที่เขียนอยู่เชิงยาบที่ประดับพริ้วลงมาจากช่วงตัวบั้งไฟ
7. ยาบ เป็นผ้าประดับใต้เลาบั้งไฟ จะสับลายใดขึ้นอยู่กับช่างบั้งไฟนั้น เช่น ลายก้านขูดลายก้าน
ดอกใบเทศ
8. ตัวพระนาง เป็นรูปลักษณ์สื่อถึงผาแดงนางไอ่ หรือตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ พระลักษณ์ พระราม เป็นต้น
9. กระรอกเผือก ท้าวพังคี แปลงร่างมาเพื่อให้นางไอ่หลงใหล
10. ปล้องคาด ลายรักร้อย ลายลูกพัดใบเทศ ลายลูกพัดขอสร้อย เป็นต้น
11. เกริน เป็นส่วนที่ยื่นออกสองข้างของบุษบก เป็นรูปรอนเบ็ดลายกนก สำหรับตั้งฉัตรท้ายเกริน ราชรถประดับส่วนท้ายของหางบั้งไฟ
            12. บุษบก เป็นองค์ประกอบไว้บนราชรถ เพื่อสมมุติให้เป็นปราสาทผาแดงนางไอ่
            13. ต้างบั้งไฟ ลายกระจังปฏิญาณ ลายก้านขด ลายพุ่มข้าวบิณฑ์
            14. ลายประกอบตกแต่งอื่นๆ ลายกระจังตั้ง กระจังรวน กระจังตาอ้อย ลายน่องสิงห์ บัวร่วน กลีบขนุน

ประเภทของบั้งไฟ

1. บั้งไฟโหวด บั้งไฟโบดหรือโหวดเป็นบั้งไฟขนาดเล็กตัวกระบอกจะยาวขึ้น ประมาณ 4-10 นิ้ว บรรจุหมื่อหนักประมาณ 1 ส่วน 8 ถึง 1 ส่วน 2 กิโลกรัม ใช้หางยาวประมาณ 1-4 เมตร มีกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ มัดวางรอบตัวบั้งไฟ นิยมทำประกอบกันในบั้งไฟใหญ่ (บั้งไฟหมื่น, บั้งไฟแสน) ปัจจุบันไม่ค่อยนิยมทำ เพราะไม่มีช่าง


2. บั้งไฟม้า บั้งไฟชนิดนี้เป็นบั้งไฟขนาดเล็กจุดไปตามทิศทางที่กำหนดใช้เส้นลวดเป็นวิถีตรึงไปยังเป้าหมายที่ต้องการ ลักษณะทั่วไปเป็นบั้งไฟที่ทำจากกระบอกไม้ไผ่ 1 ปล้อง ขนาดแล้วแต่ต้องการ โดยทั่วไปเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 นิ้ว ยาวประมาณ 1 ฟุตทางภาคกลางและภาคอีสานเรียกว่า “ลูกหนู” คล้ายม้าที่กำลังวิ่ง ถ้าติดรูปอะไรก็เรียกชื่อไปตามนั้น เป็นคนขี่ม้า รูปวัว แล้วแต่จะทำรูปอะไร บางครั้งภาคเหนือเรียกว่า บอกไฟยิง


            3. บั้งไฟช้าง บั้งไฟชนิดนี้ไม่มีหาง มีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่ากระโพกหรือตะโพก เวลาจุดไม่ต้องการให้พุ่งขึ้นไปแต่ต้องการมีเสียงร้องคล้ายกับช้างร้อง วิธีทำบั้งไฟให้ใช้กระบอกไม้ไผ่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดยาวเพียงป้องเดียวให้มีข้อปิดทั้ง 2 ด้าน ทุบไม้ไผ่ให้แตกเล็กน้อย เจาะรู เพื่อบรรจุหมื่อแล้วต่อชนวนเข้ารูแท่งหมื่อทำจากหมื่อถ่าน 3-4 อัดลงในไม้ไผ่ขนาดเล็กให้แน่น แล้วผ่าเอาแท่งหมื่อออกมาคล้ายข้าวหลาม ให้ได้แท่งประมาณ 3 นิ้ว การจุดนั้นนิยมต่อพ่วงชนวนบั้งไฟใหญ่ เวลาจุดชนวนผ่าจะเกิดเสียงดังเหมือนเสียงช้างร้อง นิยมวางต่อกันเป็นช่วงๆ กระบอก ถ้าต้องการจะให้มีเสียงดังอย่างไรก็จะมีเทคนิคในการทำให้เกิดเสียงนั้นๆ


4. บั้งไฟแสน บั้งไฟชนิดนี้เป็นบั้งไฟขนาดใหญ่ที่สุด บรรจุดินปืนหนัก 120 กิโลกรัมขึ้นไป บั้งไฟขนาดนี้ทำยากที่สุดจะต้องอาศัยความชำนาญเป็นพิเศษ เพราะบั้งไฟขนาดนี้หากแตกแล้วจะเป็นอันตรายมาก เพราะฉะนั้นก่อนทำบั้งไฟจะต้องมีพิธีกรรมบวงสรวงให้ถูกต้องตามหลักการทำบั้งไฟแสนเสียก่อนจึงจะลงมือทำ เมื่อตกบั้งไฟเสร็จเรียบร้อยแล้วจะมีการตกแต่งประดับประดาบั้งไฟ

            5. บั้งไฟตะไล บั้งไฟชนิดนี้ก็คือบั้งไฟจินายขนาดใหญ่นั่นเอง มีความยาวประมาณ 9-12 นิ้ว รูปร่างกลมมีไม้บางๆ แบนๆ เป็นวงกลมครอบหัวท้ายบั้งไฟเมื่อพุ่งขึ้นสู่ฟ้าไปโดยทางขวาง



            6. บั้งไฟพลุ เป็นบั้งไฟที่นิยมจุดในเทศกาลต่างๆ เช่น งานกฐิน งานบุญมหาชาติ หรือ งานเปิดกีฬา ฯลฯ เป็นบั้งไฟที่จุดแล้วทำให้เกิดเสียงดัง ในอดีตนิยมจุดในงานกฐิน เพื่อเป็นการบอกข่าวไปยังพี่น้องประชาชนทั่วไปให้ทราบประเพณีบุญบั้งไฟ


ตำนานม้าคำไหล

งานบั้งไฟล้าน ตำนานม้าคำไหล เป็นงานบุญบั้งไฟของชาวบ้านธาตุ อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี  มาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยจะจัดขึ้นในวันเพ็ญเดือน 6 ของทุกปี เพื่อถวายแด่องค์พระศรีมหาธาตุ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ชาวตำบลบ้านธาตุ อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี และชาว ต.สองห้อง อ.เมือง จังหวัดหนองคาย


          บุญบั้งไฟที่ อ.บ้านธาตุ จะต่างจากที่อื่นๆ ไปเพราะมีม้าคำไหลเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย กล่าวคือ ม้าคำไหลเป็นม้าฑัณทะกะที่พระพุทธเจ้าทรงใช้เมื่อทรงออกผนวช ดังมีตำนานเล่าว่า พ่อตู้สมศรีผู้พบซากปรักพังของบ้านธาตุ และพบพระธาตุเจดีย์ จึงได้นำพรรคพวกญาติพี่น้อง และผู้สมัครรักใคร่มาร่วมทำการบูรณะปฏิบัติพระธาตุเจดีย์ และสร้างบ้านธาตุขึ้นใหม่ขึ้น ชาวบ้านจึงได้แต่งตั้งให้เป็น พระศรีธาตุ ปกครองบ้านเมือง ต่อมาวันหนึ่งได้นิมิตว่า "มีชายแต่งกายสีขาวมาบอกให้ไปซื้อม้าขาวตัวหนึ่งที่อยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านโดยอย่าต่อรองราคา เมื่อซื้อแล้วให้ขี่กลับมาได้เลย เพราะเป็นม้าพระพุทธเจ้า" จึงปฏิบัติตามและก็เป็นจริงตามที่ฝัน เดิมทีพ่อตู้ศรีขี่ม้าไม่เป็น แต่สามารถขี่ได้อย่างคล่องแคล่ว ถือได้ว่าเป็นผู้มีบุญญาธิการ พ่อตู้สมศรีได้ขี่ม้าขาวฑัณทะกะตัวนี้ออกเยี่ยมเยียนราษฎรตลอดมาให้ได้รับความผาสุขได้อย่างรื่นไหลไม่ติดขัด มีค่าเสมือนทองคำ จึงขนานนามม้าฑัณทะกะว่า “ม้าคำไหล”
          พ่อตู่สมศรีและม้าคำไหลได้เสียชีวิตลงในเวลาใกล้เคียงกันในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ประชาชนต่างอาลัยรักอย่างสุดซึ้ง จึงได้ทำบุญอุทิศส่งดวงวิญญาณให้กับพระศรีธาตุ และดวงวิญญาณของม้าฑัณทะกะ หรือม้าคำไหลให้ได้ขึ้นสู่สรวงสวรรค์ในวันอาสาฬหบูชา คือ วันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธองค์ และหากละเว้นการปฏิบัติ ชาวบ้านจะเกิดอาเพศล้มตาย หรือเกิดทุพภิกขภัยอย่างน่าอัศจรรย์ จึงได้มีการทำบั้งไฟจุดส่งดวงวิญญาณในวันทำบุญอุทิศทุกปี แต่ต่อมาวิญญาณม้าคำไหลได้เข้าทรงตาจ้ำว่า ขอให้คนนั้นคนนี้เป็นร่างทรง โดยให้ประดิษฐ์ม้าไม้จำลองเหมือนกับม้าก้านกล้วย แล้วขี่ออกวิ่งเยี่ยมเยียนอวยพรให้แก่ประชาชนผู้มาร่วมงานประเพณีบุญบั้งไฟทุกปี จนเป็นที่เอิกเหริกลื่อเลื่องไปทั่วแผ่นดิน โดยขณะที่ร่างทรงนำม้าออกวิ่ง ถ้าหยุดตรงกับผู้ใดหรือชนถือว่าผู้นั้นมีโชคให้รีบยกมือไหว้ขอพรหรือทำบุญด้วยปัจจัยที่มีอยู่ทันที อย่าละเว้นทั้งนี้เพื่อเป็นศิริมงคลให้แก่ตัวเอง
ต่อมา เมื่อย่างเข้าสู่สมัยโลกาภิวัตร ได้มีคหบดีชาวบ้านธาตุผู้ใจบุญและบุคคลที่มีความสำเร็จสมหวังจากการบนบานศาลกล่าว พระมหาธาตุเจดีย์และม้าคำไหล ได้รวมพลังกันจัดมหกรรมบุญบั้งไฟล้านขึ้น เพื่อเป็นมหาบูชาที่ยิ่งใหญ่ จนเป็นข่าวขจรขจายไปทั่วโลก โดยคณะลูกสาวของคุณตาบุญหนา เหรวรรณ ที่อยู่ในต่างประเทศ และได้พากันกลับมาบูชาพระมหาธาตุ วัดศรีเจริญโพนบก บ้านธาตุ หมูที่ 10 ทุกปี ได้แก่ คุณพรพิมล คุณสุภนาถ และคุณละอองดาว เหรวรรณ จนกระทั่งกลายเป็นประเพณีบุญบั้งไฟล้านของชาวบ้านตำบลบ้านธาตุ อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี สืบมาจนถึงปัจจุบัน


พิธีแห่ม้าคำไหล

          สำหรับกิจกรรมภายในงานฯ ประกอบด้วย การแข่งขันวิ่งมินิมาราธอน การประกวดธิดาบั้งไฟล้าน การประกวดธิดาจำแลง การแสดงพื้นบ้าน การจุดบั้งไฟล้าน บั้งไฟแสน บั้งไฟหมื่น ที่ หนองศรีเจริญ ต.บ้านธาตุ อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี ตั้งแต่วันที่ 3 - 9 พฤษภาคม 2555
ม้าคำไหล เป็นวัฒนธรรมความเชื่อ ที่ชาวบ้านธาตุยึดมั่น สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ม้าคำไหลเป็นม้าไม้จำลองที่สมมุติทำขึ้นขนาดเท่าแขนคน มีลักษณะเหมือนม้าก้านกล้วย ส่วนหัวคล้ายม้า ลำตัวกลมยาวประมาณ 60 เซนติเมตร มีพู่หาง ไม่มีขา ใช้ขี่โดยคนทรง เพื่อร่วมกิจกรรมขบวนแห่บั้งไฟล้าน ของชุมชนบ้านธาตุ อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี ในวันเพ็ญเดือน 6 และแรม 1 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปี ม้าคำไหลเป็นกิจกรรมเข้าทรงที่จะขาดหรือละเว้นไม่ได้ ทั้งนี้เพราะการละเล่นของม้าคำไหล จะมีผลต่อการอยู่ดีกินดีและความผาสุกร่มเย็นของชาวบ้าน หากละเว้นจะเกิดมีอาเพศ หรือเกิดอุบัติภัยต่างๆ นาๆ ขึ้น
          ม้าคำไหล เป็นกิจกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่สืบทอดกันมาแต่บรรพกาล เสียดายที่ไม่มีบันทึกหลักฐานที่ชัดเจน แต่จากการสอบค้นตำนานเมืองเพ็ญ และมีการเล่าต่อๆ กันมา พอจะสันนิษฐานได้ว่า มีมาในสมัยพระศรีธาตุ หรือพ่อตู้สมศรีระหว่าง พ.ศ.2390 หรือประมาณ 161 ปีมานี่เอง จำเดิมมีผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่า ม้าคำไหล คือ ม้าฑัณทกะที่นายฉันนะใช้เป็นพาหนะนำพระเจ้าสิทธัตถะทรงออกผนวช และเมื่อทรงผนวชแล้ว จึงให้นายฉันนะนำม้าฑัณทกะกลับวัง แต่ด้วยเหตุผลกลใดไม่ปรากฏ ม้าฑัณทกะได้เสียชีวิตระหว่างทาง แต่ด้วยบุญบารมีของพระเจ้าสิทธัตถะได้บันดาลให้ไปจุติเป็นเทพ ซึ่งในกาลต่อมาวิญญาณม้าฑัณทกะดังกล่าวได้มาเข้าทรงชาวบ้านธาตุเพื่อร่วมบูชาแถนในงานประเพณีบุญบั้งไฟด้วย จึงต้องจัดทำม้าจำลอง และจัดหาคนทรงขี่ม้าจำลองร่วมในขบวนแห่งานบุญบั้งไฟของบ้านธาตุตลอดจนถึงปัจจุบัน
          ขบวนม้าคำไหลประกอบด้วยผู้ร่วมงานเป็นทีม จำนวนทั้งสิ้น 18 คน ได้แก่ คนทรงม้า 1 คน คนถือหางม้า 1 คน คนตีกลอง 2 คน คนตีฉาบ 1 คน หมอลำ 1 คน หมอแคน 1 คน ลูกหาบและหมอฟ้อน 11 คน การแต่งกายทั้งคนทรงและทีมงาน จะสวมใส่เสื้อผ้าสีดำ ติดแปะด้วยริ้วผ้าสีต่างๆ รอบตัว ดูคล้ายๆ กับพลพรรคยาจกในภาพยนตร์จีน แต่มีอิสระในการร่วมขบวน โดยจะออกหน้า รั้งท้าย หรือตรงไหน แล้วแต่อัธยาศัยของคนทรง ลักษณะการวิ่งของม้าคำไหล อาจมีทั้งเดิน วิ่งเหยาะ หรือวิ่ง จะเป็นไปตามพฤติกรรมของคนทรง ซึ่งอาจมีการวิ่งเบียดชน หรือวิ่งกระแซะท่านผู้ชมขบวน ให้ต้องวิ่งหลบกันกระเจิงเป็นที่สนุกสนาน ส่วนผู้ใดที่ถูกชน หรือม้าคำไหลหยุดนิ่งต่อหน้าใคร ผู้นั้นจะต้องให้อาหารม้าด้วยเงิน ขนม ของขบเขี้ยว หรือเครื่องดื่มตามแต่อัธยาศัย
          เช้าของวันขึ้น 15 ค่ำ และเช้าวันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 เมื่อทุกอย่างพร้อม ในเวลา 09.00 น. จะมีการทำพิธีอัญเชิญวิญญาณเทพม้าฑัณทกะเข้าทรงคนทรง เพื่อดำเนินกิจกรรมเข้าร่วมประเพณีงานบุญบั้งไฟทั้ง 2 วัน จนกระทั่งเวลา 12.00 น. เป็นเสร็จพิธี อนึ่งคนทรงจะต้องมีสุขภาพแข็งแรง ถูกโฉลกกับวิญญาณที่จะเข้าสิง โดยเมื่อมีโอกาสเป็นคนทรงแล้ว อาจต้องทำหน้าที่ติดต่อกันหลายปี จนกว่าจะแก่เฒ่า หรือสุขภาพไปไม่ไหว หรือขอลาออก คนทรงคนแรก ได้แก่ พ่อตู้ศรีวิชัย สมัยนั้นยังไม่มีนามสกุล

ประวัติตำนานผาแดง-นางไอ่


"ผาแดง-นางไอ่" เป็นตามตำนานเล่าขานสืบต่อกันมา เป็นมูลเหตุที่ทำให้เกิด "หนองหาน" มีเรื่องราวเกี่ยวพันกับวรรณคดีพื้นบ้านอีสาน เรื่องผาแดง-นางไอ่ ตำนานรักอันลึกซึ้งของหนึ่งหญิงสองชายเมื่อฝ่ายหนึ่งพลาดรักและถูกทำร้ายจนถึงแก่ความตายก็กลายเป็นสงคราม ทำให้บ้านเมืองถล่มทลายกลายเป็นหนองน้ำใหญ่ และวรรณคดีอีสานเรื่องนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของบุญบั้งไฟ เป็นวัฒนธรรมประเพณีที่ยิ่งใหญ่ขึ้นชื่อลือชาของชาวอีสานมาแต่บรรกาล "พญาขอม" ผู้ครองเมืองเอกชะทีตามีธิดานางหนึ่งชื่อ "นางไอ่" หรือนางไอ่คำเป็นหญิงที่มีรูปร่างหน้าตางดงามซึ่งจะหาสาวงามนางใดในสามภพมาเทียบมิได้ ความงดงามของเธอเป็นที่เลื่องลือไปทั่วแดนไกลเจ้าชายหลายหัวเมืองต่างหมายปองอยากได้นางมาป็นคู่ครอง "ท้าวผาแดง" เจ้าชายเมืองผาโพงทราบข่าวลือถึงศิริโฉมอันงดงามของนางไอ่ก็เกิดความหลงใหลไฝ่ฝันในตัว นางจึงวางแผนทอดสัมพันธ์ไมตรีด้วยการส่งแก้วแหวนเงินทองและผ้าแพรพรรณเนื้อไปฝากนางไอ่ เมื่อมหาดเล็กนำสิ่งของไปมอบให้นาง แถมยังได้บอกนางไอ่ถึงความสง่างาม องอาจ ผึ่งผายของท้าวผาแดง แดงให้ฟัง เท่านั้นเอง นางไอ่ก็เกิดความสนใจและมอบเครื่องบรรณาการกลับมาฝากท้าวผาแดงเป็นการตอบแทนด้วย ก่อนที่มหาดเล็กจะเดินทางกลับ นางไอ่ได้ฝากคำเชื้อเชิญท้าวผาแดงซึ่งตั้งทัพรออยู่นอกเมืองให้เข้าพบนางที่วังพญาขอมและคงเป็นด้วยบุพเพสันนิวาส ทำให้รักแรกพบของคนคู่นี้เป็นรักที่จริงใจและจริงจัง จนคนทั้งสองได้เสียกันไปอย่างสุดจะยั้งใจได้ "ท้าวพังคี" ลูกชายพญาศรีสุทโธ พญานาคผู้ครองเมืองบาดาล ก็เป็นอีกตนหนึ่งที่มีความไฝ่ฝันอยากยลศิริโฉมของนางไอ่ ทั้งนี้ก็เพราะเป็นเวรกรรมในอดีตชาตินั้นบันดาลให้เป็นไป ฝ่ายพญาขอมเห็นว่านางไอ่ก็โตเต็มสาวแล้ว จึงมาสาส์นแจ้งไปยังหัวเมืองน้อยใหญ่ให้ทำบั้งไฟมาจุดแข่งขันกันที่เมืองเอกชะทีตา เพื่อจุดถวายพระยาแถนผู้เป็นใหญ่ในชั้นฟ้าบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลประการหนึ่ง ส่วนอีกประการหนึ่ง หากบั้งไฟเมืองไหนขึ้นสูงกว่าก็จะได้นางไอ่ธิดาสาวผู้เลอโฉมไปเป็นคู่ครอง
พญาขอมได้กำหนดวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เป็นวันงาน ทำให้เจ้าชายเมืองต่างๆทำบั้งไฟหมื่นบั้งไฟแสนมาจุดแข่งขันกันอย่างมากมาย บุญบั้งไฟครั้งนั้นนับเป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่มโหฬาร พอถึงวันงานผู้คนก็หลั่งไหลมาทั่วทุกสารทิศ ทั้งยังมีการแข่งขันตีกลอง ซึ่งคนอีสานเรียกว่า "เส็งกอง" กันอย่างครึกครื้น หนุ่มสาวต่าง "จ่ายผญา" เกี้ยวพา ราสีกันอย่างสนุกสนาน บุญบั้งไฟในครั้งนี้แม้ท้าวผาแดงจะไม่ได้รับสาส์นเชิญให้นำบั้งไฟไปร่วมงานด้วยก็ตามแต่พญาขอมว่าที่พ่อตา ก็ให้การต้อนรับท้าวผาแดงเป็นอย่างดี ฝ่าย "ท้าวพังคี" เจ้าชายเมืองบาดาล ก็อยากมาร่วมงานกับมนุษย์ เพราะต้องการยลโฉมนางไอ่มาเป็นกำลังใจและคิดวางแผนในใจว่าบุญบั้งไฟครั้งนี้ต้องไปให้ได้ แม้พ่อจะทัดทานอย่างไรก็ตาม จากนั้นก็พาไพร่พลส่วนหนึ่งออกเดินทางขึ้นมาเมืองมนุษย์ ก่อนโผล่ขึ้นเมืองเอกชะทีตาของพญาขอมผู้เป็นใหญ่ ท้าวพังคีก็พาบริวารแปลงร่างเป็นมนุษย์บ้างสัตว์บ้าง ส่วนท้าวพังคีก็ได้แปลงร่างเป็นกระรอกเผือกซึ่งชาวอิสานเรียกว่า "กระรอกด่อน" ได้ออกติดตามลอบชมนาง โฉมนางไอ่ในขบวนแห่ของพญาขอม เจ้าเมือง ไปอย่างหลงใหลในความงามของนางไอ่




ตำนานนิทานอิสาน ผาแดงนางไอ่

การจุดบั้งไฟแข่งขันเป็นไปอย่างสนุกสนาน ทุกคนใจจดใจจ่ออยากรู้ว่าบั้งไฟเจ้าชายเมืองไหนจะชนะและได้นางไอ่ไปครอง ซึ่งการจุดบั้งไฟครั้งนั้น ท้าวผาแดงและพญาขอมมีเดิมพันกันว่าถ้าบั้งไฟท้าวผาแดงชนะบั้งไฟพญาขอมแล้ว ก็จะยกนางไอ่ธิดาสาวให้ไปเป็นคู่ครอง ผลปรากฏว่า บั้งไฟของพญาขอมไม่ยอมขึ้นจากห้าง ส่วนบั้งไฟของท้าวผาแดงแตก (ระเบิด) คาห้างคงมีแต่บั้งไฟของพญาฟ้าแดด เมืองฟ้าแดดสูงยาง และของพญาเซียงเหียนเท่านั้นที่ขึ้นสู่ท้องฟ้านานถึง 3 วัน 3 คืน จึงตกลงมาแต่พญาทั้งสองนั้นเป็นอาของนางไอ่เป็นอันว่าเธอจึงไม่ตกเป็นคู่ครองของใคร เมื่อบุญบั้งไฟเสร็จสิ้นลงท้าวผาแดงและท้าวพังคี ต่างฝ่ายต่างกลับบ้านเมืองของตน ในที่สุด "ท้าวพังคี" ก็ทนอยู่บ้านเมืองแห่งตนไม่ได้ เพราะหลงใหลในศิริโฉมอันงดงามของนางไอ่ จึงพาบริวารย้อนขึ้นมายังเมืองเอกชะทีตาอีกโดยแปรงร่างเป็นกระรอกเผือกอย่างเดิมที่คอแขวนกระดิ่งทองไปเกาะอยู่บนกิ่งไม้ใกล้หน้าต่างห้องนอนของนางเมื่อเสียงกระดิ่งทองดังกังวานขึ้น นางไอ่ได้ยินก็เกิดความสงสัย จึงเปิดหน้าต่างออกไปดูจึงเห็นกระรอดเผือกน่ารักน่าเอ็นดู นางก็เกิดความพอใจอยากได้ จึงสั่งให้นายพรานฝีมือดีออกไปติดตามจับกระรอกเผือก ได้แต่จนแล้วจนรอดนายพรานก็จับไม่ได้ นางไอ่เกิดความไม่พอใจขึ้นมาแทนที่ และสั่งให้นายพรานจับมาให้ได้ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจะจับตาย นายพรานออกติดตามกระรอกเผือก เริ่มตั้งแต่บ้านพันดอน บ้านน้ำฆ้อง ก็ไม่มีโอกาสจับกระรอกเผือกเสียที จึงไล่ติดตามมาจนถึงบ้านนาแบก บ้านเหล่าหมากบ้า บ้านเหล่าแชแลหนองแวงบ้านเหล่าใหญ่ บ้านเมืองพริก บ้านคอนสาย บ้านม่วงก็ยังจับไม่ได้ ในที่สุดผลกรรมแต่ชาติปางก่อนตามมาทัน เมื่อกระรอกเผือกตัวน้อยหนีนายพรานมาถึงต้นมะเดื่อที่มีผลสุกเต็มต้น เจ้ากระรอกน้อยก็ก้มหน้าก้มตากัดกินลูกมะเดื่อด้วยความหิวโหยนายพรานไล่ตามมาทันก็เกิดความโมโหที่จับเป็นไม่ได้ จึงตัดสินใจจับตาย ด้วยการใช้หน้าไม้อาบยาพิษ ยิงถูกร่างเจ้ากระรอกเผือกเต็มรัก กระรอกเผือกหรือท้าวพังคี รู้ดีว่าต้องตายแน่ๆจึงสั่งให้บริวารกลับเมืองบาดาลเพื่อนำเอาความไปเล่าให้บิดาทราบและก่อนสิ้นใจ "ท้าวพังคี" ก็แสดงอิทธิฤทธิ์โดยร่ายมนต์อธิษฐานว่า "ขอให้เนื้อของตนมีมากมาย 8000 เล่มเกวียนมากพอ เลี้ยงผู้คนได้ทั้งเมืองอย่างทั่วถึง" เมื่อกระรอกเผือกสิ้นใจตาย นายพรานกับพวกนักล่าฝีมือฉกาจ ก็นำเอาร่างขอกระรอกเผือกไปชำแหละอาเนื้อที่บ้านเชียงแหว เมื่อนายพรานปาดเอาเนื้อให้ผู้คนทั้งบ้านใกล้บ้านไกลได้กินกัน ก็ปรากฏว่าเนื้อของกระรอกน้อยก็เพิ่มขึ้นมาอย่างทวีคูณ ผู้คนในเมืองต่างพากันกินเนื้อกระรอกอย่างอิ่มหมีพีมัน ยกเว้นผู้คนที่บ้านดอนแม่หม้ายไม่มีผัว หรือ "บ้านดอนแก้ว" ซึ่งอยู่กลางทุ่งหนองหานเท่านั้น ที่พวกพรานไม่ได้แบ่งปันให้กิน ฝ่ายบริวารท้าวพังคีเมื่อกลับถึงเมืองบาดาล ก็เล่าเหตุการณ์ท้าวพังคีถูกนายพรานฆ่าตายให้พญานาคราชผู้เป็นบิดาฟังบิดาท้าวพังคีก็เกิดความกริ้วโกรธาสั่งจัดบริวารเป็นริ้วขบวนนาคาขึ้นไปอาละวาดเมืองพญาขอมให้ถล่มทลายหายแค้น พร้อมประกาศก้องว่า "ใครกินเนื้อลูกภังคีของข้า พวกมึงอย่าไว้ชีวิต" พญานาคพาบริวารออกอาละวาดไปทั่วแดนเมืองเอกชะทีตา เสียงดังครืนๆ ฆ่าผู้คนตายไปอย่างมากมายสุดคณานับ แผ่นดินเมืองพญาขอมก็ล่มทลายลงเป็นหนองหาน ส่วนบ้านดอนแก้วหรือดอนแม่หม้าย แห่งเดียวที่ผู้คนไม่ได้กินเนื้อท้าวพังคี จึงไม่ได้ล่มทลายลงดังที่เห็นในปัจจุบัน ขณะที่บ้านเมืองกำลังล่มทลายเพราะอิทธิฤทธิ์ของพญานาคศรีสุทโธอยู่นั้น ท้าวผาแดงก็ขี่ม้าบักสามมุ่งหน้าไปหานางไอ่ ท้าวผาแดงเห็นนาคเต็มไปหมด และได้เล่าเรื่องที่พบเห็นให้นางฟัง แต่นางกลับไม่สนใจ แต่ได้ทำอาหารที่มีกลิ่นหอมหวนเป็นพิเศษมาให้ท้าวผาแดงรับประทานท้าวผาแดงจึงถามว่า เนื้ออะไร ทำไมจึงหอมนักก็ได้รับคำตอบจากนางว่า "เนื้อกระรอกนายพรานยิงตายนำมาให้" เท่านั้นเอง ท้าวผาแดงก็ทราบในทันทีว่าเป็นเนื้อของท้าวภังคี ลูกชายเจ้าพ่อศรีสุทโธนาคเจ้าเมืองบาดาล จึงไม่ยอมกินอาหาร "ต้องห้าม" ที่นางยกมาให้ พอตกตอนกลางคืนผู้คนกำลังหลับสนิท เหตุการณ์ร้ายก็เกิดขึ้น เสียงครืนๆแผ่นดินถล่มมาแต่ไกล ท้าวผาแดงก็รู้ทันทีว่าเป็นการกระทำของพญานาค จึงคว้าร่างนางไอ่ขึ้นหลังม้าบักสามควบหนีออกจากเมืองอย่างสุดฝีเท้าเพื่อให้พ้นภัย



แต่นางไอ่ได้กินเนื้อกระรอกกับชาวเมืองด้วย แม้ว่าท้าวผาแดงจะควบม้าคู่ชีพไปทางไหนนาคก็ดำดินติดตามไป แผ่นดินก็ถล่มทลายตามไปด้วย ท้าวผาแดงควบม้าไปทางภูพานน้อยต้นลำห้วยสามพาด เพื่อหนีไปยังเมืองผาโพง พญานาคก็ติดตามอย่างไม่ลดละ และแปลงร่างเป็นขอนไม้ยางขนาดยักษ์ขวางเส้นทางไว้ ม้าบักสามก็กระโดดข้ามอย่างสุดฤทธิ์ สองขาหน้าข้ามขอนไม้ไปได้แต่สองขาหลังคู้ขึ้นมาไม่ข้าม จึงทำให้ม้าเสียหลักล้มพังพาบลงอวัยวะเพศของม้าไปกระแทกกับภูพานน้อยเป็นร่องลึกลงไป และกลายเป็นต้นลำห้วยสามพาดมาตั้งแต่บัดนั้น ในที่สุดนางไอ่ก็ถูกพญานาคใช้หางฟาดตกลงจากหลังม้า และพญานาคก็คว้าตัวนางไปต่อหน้าท้าวผาแดง สุดแรงที่จะตามเมียรักกลับคืนมา เมื่อท้าวผาแดงกลับไปถึงเมืองผาโพง ก็คิดถึงนางไอ่เมียรัก ตรอมใจ ข้าวปลาไม่กิน ร่างกายผ่ายผอม สุดท้ายท้าวผาแดงจึงทำพิธีฆ่าตัวตาย เพื่อต้องการไปเป็นหัวหน้าผี นำทัพไปรบกับพญานาคช่วงชิงนางไอ่กลับคืนมาให้จงได้เมื่อท้าวผาแดงตายเป็นผี ก็ได้ไปเป็นหัวหน้าผีสมดังประสงค์ พอได้โอกาสเหมาะผีผาแดงก็เตรียมไพร่พลเดินทัพผีไป ไปรบกับพญานาค บริวารท้าวผาแดงมีเป็นแสนๆ เดินเท้าเสียงดังอึกทึกปานแผ่นดินจะถล่ม เข้ารายล้อมเมือพญานาคเอาไว้ทุกด้าน ต่างฝ่ายต่างใช้อิทธิฤทธิ์ รบกันนานถึง 7 วัน 7 คืน ไม่มีใครแพ้ชนะ ฝ่ายเจ้าพ่อศรีสุทโธ เจ้าเมืองบาดาลซึ่งแก่ชราภาพมากแล้ว ก็ไม่อยากก่อกรรมกก่อเวรเพราะต้องการไปเกิดในแผ่นดินพระศรีอาริยเมตไตรย์อีก จึงไปหาท้าวเวสสุวัณ ผู้เป็นใหญ่ให้มาตัดสินความ ท้าวเวสสุวัณจึงเรียกทั้งสองฝ่ายมา โดยให้ทั้งสองฝ่ายเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทราบฟังเรื่องทั้งหมดจบแล้ว ท้าวเวสสุวัณจึงบอกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมันเป็นผลของ "บุพกรรม" หรือกรรมเก่าแต่ชาติปางก่อนที่ตามาในชาตินี้ และทั้งสองฝ่ายก็มีเหตุผลก้ำกึ่งกัน จึงให้ทั้งสองเลิกรา ไม่ต้องเข่นฆ่ากันอีก ขอให้มีเมตตาต่อกัน และให้ทั้งสองฝ่ายรักษาศีลห้าปฏิบัติธรรมและมีขันติธรรมต่อไป ส่วนนางไอ่ ระหว่างนี้ก็ให้อยู่เมืองพญานาคไปก่อน รอให้พระศรีอาริยเมตไตรย์จุติมาตัดสินว่าจะตกเป็นของใคร ท้าวผาแดงและพญานาคได้ฟังคำสั่งสอนของท้าวเวสสุวัณก็กลับมีสติ เข้าใจในเหตุและผลต่างฝ่ายต่างอนุโมทนาสาธุการ เหตุร้ายจึงยุติลงด้วยความเข้าใจ มีการให้อภัยกันในที่สุดนิยายรักเศร้าสุดประทับใจเรื่องผาแดง-นางไอ่ จึงจบลงแต่เพียงเท่านี้


นิยายรักอมตะ "ผาแดง-นางไอ่" ไม่เพียงเป็นนิยายรักพื้นบ้านซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีตลอดทั่วทั้งภาคอีสานเท่านั้นนิยายเรื่องนี้ยังได้รับการนำมาเป็นส่วนหนึ่งของประวัติเมืองสกลนครด้วย หนองหาน ไม่ใช่จะมีอยู่แต่เพียงในจังหวัดสกลนคร แต่ยังมีอยู่ที่จังหวัดอุดรธานีด้วยและหากจะกล่าวถึงแหล่งน้ำกว้างใหญ่ ที่พญานาคได้ทำลายเมืองเอกชะทีตาลงจนกลายเป็นหนองน้ำใหญ่นั้นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ในหลายจังหวัดของภาคอีสานอย่าง บึงพลาญชัย ก็มีประวัติที่อิงอยู่กับเรื่องพญานาคทำลายเมืองเอกชะทีตานี้อยู่ด้วยเช่นกัน





เรื่อง "ผาแดง-นางไอ่" นอกจากจะเป็นนิยายรักอมตะของอีสานแล้วยังเป็นวรรณกรรมโบราณหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่กล่าวถึงพิธีจุดบั้งไฟขอฝนของชาวอีสานไว้อย่างชัดเจน เป็นหลักฐานถึงประเพณีและความเชื่อเกี่ยวกับการจุดบั้งไฟขอฝนของชาวอีสาน ที่แน่ชัดว่ามีมาแล้วหลายร้อยปี จนในปัจจุบัน ในงานประเพณีบุญบั้งไฟโดยทั่วไปของชาวอีสาน สัญลักษณ์เรื่อง "ผาแดง-นางไอ่" คือ ท้าวผาแดงและนางไอ่คำ บนหลังม้าบักสาม ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ของขบวนแห่บั้งไฟทุกๆขบวนไปแล้ว